วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Assassin's Creed Embers


 
หมายเหตุ: บทความนี้อาจพาดพิงถึงเนื้อหาบางส่วนแต่ไม่ได้เปิดเผยส่วนสำคัญของเรื่อง
 
ตั้งแต่อัพเกรดคอมมาได้ร่วมสามปี Assassin's Creed เป็นเกมที่ผมรู้สึกผูกพันและมีอารมณ์ร่วมมากที่สุด ถึงแม้จะมีเสียงค่อนขอดถึงระบบการเล่นที่ออกจะดูจำเจไปบ้าง แต่สิ่งที่เป็นเครื่องชูโรงให้กับ Assassin's Creed คือเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตามประกอบกับฉากคัทซีนและดนตรีประกอบระดับหนังฮอลลีวูด ทำให้ทุกครั้งที่ฉากจบของแต่ละภาคสิ้นสุดลง ผมแทบจะทนรอเล่นภาคต่อไปไม่ไหว
 
 
ในภาคแรก เราได้สวมบทบาทเป็น Altaïr Ibn-La'Ahad สุดยอดมือสังหารแห่งยุคกลางภายใต้ไฟสงครามครูเสด Altaïr เป็นนักฆ่าที่ทำให้ผมรู้สึกถึงกลิ่นอายของนักฆ่าโดยแท้จริง ด้วยบุคลิคที่เงียบขรึม สังหารเป้าหมายโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เป็นนักฆ่าที่พร้อมทำตามคำสั่งที่ได้รับมาอย่างไม่อิดเอื้อน ยิ่งท้องเรื่องไม่ได้เปรยให้เห็นถึงที่มาที่ไปของเขาเท่าใดนักก็ยิ่งทำให้ Altaïr ดูลึกลับและน่าค้นหามากขึ้นไปอีก
 
 
ตัวละครเอกในภาคต่อมา ได้แก่ Ezio Auditore da Firenze เด็กหนุ่มเจ้าสำราญแห่งฟลอเรนซ์ในยุคเรเนซองส์ ที่ชะตากรรมทำให้เขาต้องแบกรับภาระของการเป็นมือสังหารสืบต่อจากรุ่นพ่อก่อนเวลาอันควรจนตัวเขาเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ในแว่บแรกนั้น Ezio ดูจะแตกต่างจาก Altaïr อย่างสิ้นเชิง เขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่นปุถุชนทั่วไป ต่อหน้าศัตรู เขาไล่ล่าสังหารอย่างเกรี้ยวกราดด้วยแรงแค้น ต่อหน้าแม่และน้องสาว เขาแสดงให้เห็นถึงความสับสนที่ต้องก้าวขึ้นมาเป็นหัวเรือของครอบครัวตั้งแต่ยังหนุ่มด้วยความจำเป็น และต่อหน้าสาวงาม เขาก็กลายร่างเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้สามารถเด็ดพวกนางมาดอมดมได้อย่างไม่ยากเย็น
 
 
ด้วยเหตุนี้ เวลาที่มองดู Ezio สิ่งที่ผมเห็นจึงไม่ใช่มือสังหารเลือดเย็น แต่เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปซะมากกว่า แน่นอนว่าผมสนุกกับการได้ดูความเป็นไปของ Ezio แต่ในแง่ของความลึกลับน่าค้นหาในฐานะมือสังหารแล้ว ผมออกจะดูแคลนว่าเขาไม่อาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่ของ Altaïr ความรู้สึกนี้ทำให้ผมผิดหวังเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าภาคต่ออย่าง Brotherhood หรือ Revelations จะยังคงเป็นเนื้อเรื่องของ Ezio แทนที่จะเป็นมือสังหารคนใหม่ ในบรรยากาศและยุคสมัยใหม่ๆ
 
 
 
แต่เมื่อได้สัมผัสกับมันจริงๆ จึงได้เห็นว่าทั้ง Brotherhood และ Revelations ไม่ใช่ภาคต่อที่สักแต่ยืดเรื่องราวให้ยาวขึ้นเพียงเพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่มันได้สร้างมิติและความลึกให้กับตัวละครอย่าง Ezio ขึ้นอีกหลายเท่า ทำให้เราเห็นพัฒนาการของเขาจากเด็กหนุ่มเสเพล กระทั่งก้าวเป็นผู้นำของมือสังหารจากทั่วทุกสารทิศ กลายเป็นองค์กรมือสังหารผู้ปฏิบัติการอยู่ในเงามืดเพื่อรับใช้แสงสว่างคือเสรีภาพและความสงบสุขของผู้คน
 
 
สิ่งที่ผมเห็นในตัว Ezio เวลานี้จึงไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มเจ้าสำราญอีกต่อไป แต่เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง ต้องก้าวข้ามความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ประดังเข้ามาในชีวิต แม้ในด้านชีวิตรักเอง ต่อให้เขาจะสามารถกระชากใจสาวงามได้แทบทุกคน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ความเป็นมือสังหารก็จะเป็นสิ่งที่ผลักไสพวกนางให้ไปจากเขา ซึ่ง Ezio ก็รู้ดีว่าการชักพาใครสักคนให้เข้ามาในชีวิต ก็รังแต่จะทำให้ใครคนนั้นต้องเสี่ยงอันตรายเสียเปล่าๆ
 
สำหรับผมแล้ว Ezio จึงเป็นมือสังหารที่เข้มแข็งแต่ก็อ่อนแอ เจ้าสำราญแต่ก็โดดเดี่ยว แม้จะให้ความรู้สึกที่ต่างจาก Altaïr แต่ความยิ่งใหญ่มิได้ด้อยไปกว่ากัน ด้วยเหตุนี้ ฉากจบของ Revelations จึงทำให้ผมถึงกับขนลุกซู่เลยทีเดียว มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งตื้นตันและใจหายผสมปนเปกันจนหาคำมาอธิบายไม่ถูก
 
สุดท้ายนี้ผมจึงขอฝาก Assassin's Creed Embers หนังอนิเมชั่นสั้นๆ แถมท้ายต่อจากเนื้อเรื่องใน Revelations โดยได้นำเสนอชีวิตบั้นปลายของ Ezio ซึ่งผมแปลเองกับมือ อาจพูดไม่ได้ว่าแปลถูกหมด 100% แต่ก็มั่นใจว่าไม่มั่วแน่นอนครับ
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น